วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประเทศพม่า




ภูมิศาสตร์
ที่ตั้ง : ประเทศพม่าตั้งอยู่ที่ละติจูดที่ 28 องศา 30 ลิปดา ถึง 10 องศา 20 ลิปดาเหนือ ภูมิประเทศตั้งอยู่ตามแนวอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทำให้มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,000 ไมล์ และมีหาดที่สวยงามเก่าแก่บริสุทธิ์อยู่หลายแห่ง พม่ามีชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือติดกับบังคลาเทศและอินเดีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับธิเบตและจีน ส่วนทางตะวันออกติดกับลาว และทางตอนใต้ติดกับไทย รูปพรรณสัณฐานเหมือนกับว่าวที่มีหางยาวล้อมรอบเกือกม้าขนาดใหญ่คือแนวเทือกเขามหึมา และภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ มียอดเขาสูงอยู่มากมายตามแนวเทือกเขาของพม่า และมีหลายยอดที่สูงเกินกว่า 10,000 ฟุต ตามแนวชายแดนหิมาลัยทางเหนือของพม่าที่ติดกับธิเบตเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮากากาโบ ราซี19,314 ฟุต ต่ำลงมาจากแนวเขาเหล่านี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่ภายในประเทศพม่า รวมทั้งเขตแห้งแล้งกินอาณาเขตกว้างตอนกลางของพม่า และยังมีที่ราบลุ่มบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีที่อุดมสมบูรณ์ทอดยาวลงไปทางตอนใต้ เป็นนาข้าวกว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ลักษณะภูมิประเทศ
  • ภาคเหนือ เทือกเขาปัตไก เป็นพรมแดนระหว่างพม่าและอินเดีย
  • ภาคตะวันตก เทือกเขาอาระกันโยมากั้นเป็นแนวยาว
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นที่ราบสูงชัน
  • ภาคใต้ มีทิวเขาตะนาวศรี กั้นระหว่างไทยกับพม่า
  • ภาคกลาง เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี
 ลักษณะภูมิอากาศ
  • มรสุมเมืองร้อน
  • ด้านหน้าภูเขาอาระกันโยมา ฝนตกชุกมาก
  • ภาคกลางตอนบนแห้งแล้งมาก เพราะมีภูเขากั้นกำบังลม
  • ภาคกลางตอนล่าง เป็นดินดอนสามเหลี่ยวปากแม่น้ำขนาดใหญ่ ปลูกข้าวเจ้า ปอ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศค่อนข้างเย็น และค่อนข้างแห้งแล้ง
  • ร้อนชื้น

การคมนาคมขนส่ง 


            การขนส่งทางบก ได้แก่ ทางถนนและทางรถไฟ
                - ทางถนน  ถนนในพม่าส่วนใหญ่ ขนานไปกับภูเขาและแม่น้ำ ทอดไปตามความยาวของประเทศ เช่นเดียวกับทางรถไฟ ถนนสายต่าง ๆ ที่สำคัญมีดังนี้
                ถนนสายพม่า เป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างย่างกุ้งกับเมืองคุนหมิง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน มีความยาวในเขตพม่าถึงเมืองมูเซ ประมาณ ๑,๑๖๐ กิโลเมตร และมีความยาวในเขตจีนจากมูเซถึงคุนหมิง ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร ถนนสายนี้ผ่านเมืองต่าง ๆ คือ พะโค - ตองอู - ปยิมมะนา - เมตติลา - มัณฑะเลย์ - เมเบียงกอดเต็ก - สีป๊อ - ลาเฉียว - แสนหวี - มูเซ รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๒,๑๔๐ กิโลเมตร ใช้การทุกฤดูกาล
                    ถนนสาย ย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์  ยาวประมาณ ๗๓๐ กิโลเมตร ขนานไปตามแม่น้ำอิระวดี ผ่านเมืองสำคัญคือ เมืองแปร แมดเว ปาเดาว์ ตัดขนานกับทางรถไฟ
                    ถนนสาย เมตติลา - ท่าขี้เหล็ก  ยาวประมาณ ๙๐๐ กิโลเมตร เชื่อมต่อกับถนนพหลโยธินของไทย ในเขตอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นถนนสายสำคัญที่ผ่านเมืองเชียงตุง ในรัฐฉาน ไปเชื่อมต่อกับถนนเข้าสู่ประเทศจีนที่เมืองลา
                    ถนนสาย พะโค - มะริด  ยาวประมาณ ๖๘๐ กิโลเมตร เชื่อมต่อภาคกลางตอนใต้ ไปยังภาคใต้สุดของพม่า ผ่านเมืองท่าตอน - มะละแหม่ง - เย - ทะวาย - มะริด
                    ถนนสาย ตองอู - สีป๊อ  ยาวประมาณ ๕๖๐ กิโลเมตร เริ่มจากเมืองตองอู ผ่านเมืองดอยก่อ - ดอยแหลม - ตองยี - จ๊อกแบ - สีป๊อ
                    ถนนสาย สะโกร์ - อิมพัล  ยาวประมาณ ๔๖๐ กิโลเมตร ผ่านเมืองฉ่อยโบ - กาเลวา ถึงเมืองอิมพัลในอินเดีย
                    ถนนสาย ลิโด หรือสติลเวลล์  ยาวประมาณ ๓๗๐ กิโลเมตร เป็นถนนเชื่อมต่อพม่ากับอินเดีย เริ่มจากเมืองลิโดแคว้นอัสสัม ของอินเดีย ผ่านลงไปทางใต้ ด้านหุบเขาฮูกวง ข้างแม่น้ำอิระวดี ที่มิตจินา ผ่านมาโมมิจินา ไปบรรจบกับถนนสายพม่าที่มูเซ
                    ถนนสาย ฮากา - อ.มาตูยุ  ยาวประมาณ ๑๗๐ กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างรัฐชินกับภาคใต้
                    ถนนสาย จองโต - เมเนียว  ยาวประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร เชื่อมต่อกับถนนสายตาก - แม่สอด ของไทย ในเขตอำเภอแม่สอด ถนนสายนี้แยกจากถนนสายพะโค - มะริด ที่จองโต ผ่านเมืองผาอัน - ท่าตอน - เหล่งบ่วย - กอการิต - เมียวดี
                    ถนนสาย เมืองลา - บ้านท่าเดื่อ  ยาวประมาณ ๑๑๐ กิโลเมตร เป็นถนนเลียบพรมแดนพม่ากับจีน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเชียงตุง ในรัฐฉาน 

 

                - ทางรถไฟ ทางรถไฟของพม่าได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๑ ที่สำคัญได้แก่
                    สายย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์  มีความยาวประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร สร้างขนานกับแม่น้ำสะโตงที่มัณฑะเลย์ เป็นชุมทางแยกไปยังมิตจินาและลาเฉียว
                    สายย่างกุ้ง - แปร  มีความยาวประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตร สร้างขนานกับแม่น้ำอิระวดี ท่าข้ามที่เฮนซาด่ำ มีทางแยกไปยังพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี
                    สายย่างกุ้ง - เมาะตะมะ  มีความยาวประมาณ ๒๗๐ กิโลเมต แยกจากสายย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์ ที่เมืองพะโค แล้วข้ามแม่น้ำสะโตง ไปสู่เมืองเมาะตะมะ
                    สายมะละแหม่ง - เมืองงาย  มีความยาวประมาณ ๑๖๐ กิโลเมตร ทางสายนี้มีทางแยกที่บ้านตันบ่วยซายัด ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้าสู่ประเทศไทย
                    สายมัณฑะเลย์ - มิตจินา  มีความยาวประมาณ ๖๔๐ กิโลเมตร

 

            การขนส่งทางน้ำ  การคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ นับว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศพม่าเป็นอย่างมาก และยังเป็นเส้นทางคมนาคมหลักมาตั้งแต่อดีต เนื่องจากพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำอิรวะดี มีทางน้ำอยู่มากมาย และเป็นเขตที่มีประชาชนพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด ประกอบกับเส้นทางถนนและทางรถไฟยังมีจำกัด
                - แม่น้ำที่สำคัญ ที่ใช้ในการคมนาคมมีอยู่สี่สายด้วยกันคือ
                    แม่น้ำอิรวะดี  ใช้ในการเดินทางทุกฤดูกาล ตั้งแต่ปากแม่น้ำอิรวะดี ถึงเมืองบาโม เป็นระยะทางประมาณ ๑,๔๕๐ กิโลเมตร ถ้าเรือกินน้ำลึกเพียง ๑ เมตร จะเดินได้ถึงเมืองมิตจินา ซึ่งจะเป็นระยะทางประมาณ ๑,๕๐๐ กิโลเมตร
                    แม่น้ำซินด์วิน  ใช้ในการเดินเรือได้ประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร ตั้งแต่ปากน้ำถึงเมืองแกนดี
                    แม่น้ำสาละวิน  แม้ว่าแม่น้ำสายนี้จะยาวถึงประมาณ ๑,๑๐๐ กิโลเมตร แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์ในการเดินเรือมากนัก เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยวมีโขดหิน เกาะแก่งจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะใชัในการล่องซุงลงมาจากรัฐฉาน มีระยะทางที่ใช้ในการเดินเรือได้ทุกฤดูกาล ยาวประมาณ ๑๖๐ กิโลเมตร
                    แม่น้ำสะโตง  มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว ระยะทางที่ใช้ในการเดินเรือได้ทุกฤดูกาล ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร ต่อมาได้มีการพัฒนาแม่น้ำสายนี้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร พลังงานน้ำผลิตไฟฟ้า และการเดินเรือ
                    ทางน้ำบริเวณปากแม่น้ำอิรวะดี มีทางน้ำที่ใช้ในการเดินเรือได้ยาวประมาณ ๓,๒๐๐ กิโลเมตร
                - การคมนาคมขนส่งทางทะเล  ได้แก่ การเดินเรือเลียบชายฝั่ง เพื่อรับส่งสินค้า และผู้โดยสารตามเมืองชายฝั่งทะเล และการเดินเรือระหว่างประเทศ มีเส้นทางเดินเรือไปยังยุโรป ที่ประเทศอังกฤษ สำหรับในเอเชีย มีเส้นทางเดินเรือไปยังประเทศฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ศรีลังกา และอินเดีย เป็นต้น
                ท่าเรือที่สำคัญ มีกระจายอยู่ตามเมืองที่อยู่ชายทะเล และอยู่บนลำน้ำที่เรือเดินทะเลเข้าถึง
                    ท่าเรือย่างกุ้ง  ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำย่างกุ้ง อยู่ห่างจากปากแม่น้ำย่างกุ้งประมาณ ๓๕ กิโลเมตร เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด เรือเดินทะเลมีระวางขับน้ำ ๑,๕๐๐ ตัน สามารถใช้ท่าเรือนี้ได้
                    ท่าเรืออัคยับ  เป็นท่าเรือเก่าแก่ มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจทางด้านตะวันตก เรือเดินทะเลขนาดใหญ่เข้าจอดเทียบท่าได้สะดวก
                    ท่าเรือมะละแหม่ง  ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำมะละแหม่ง อยู่ห่างจากปากแม่น้ำประมาณ ๔๕ กิโลเมตร เป็นท่าเรือสำคัญทางด้านตะวันออกของประเทศ
                    ท่าเรือพะสิม  อยู่บนฝั่งแม่น้ำพะสิม ห่างจากปากแม่น้ำประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ใช้สำหรับเรือขนาดเล็กเท่านั้น เพราะร่องน้ำบางตอนคดเคี้ยว เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือขนาดใหญ่
                    ท่าเรือทะวาย  เป็นท่าเรือขนาดเล็ก ต้องใช้เรือเล็กขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ที่จอดอยู่ที่ปากอ่าวทะวาย
                    ท่าเรือมะริด  ตั้งอยู่ที่ปากน้ำตะนาวศรี เป็นท่าเรือชายฝั่งที่สำคัญ ใช้ประโยชน์ในกาประมง และการค้าขายกับประเทศไทย และหมู่เกาะอันดามันของอินเดีย

สถานที่ท่องเที่ยว
5 มหาบูชาสถาน : สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของประเทศพม่า               ชาวพม่าได้ชื่อว่า เป็นชนชาติที่ยังยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่ที่สุดชาติหนึ่งในโลก มีการสร้างเจดีย์ พระธาตุ ศาสนสถาน ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นจึงมีปูชนียสถานอันเป็นที่สักการบูชาของชาวพม่า และชาวมอญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่นับถือเป็นมหาบูชาสถานสำคัญสูงสุดมีเพียง 5 แห่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของชาวพุทธพม่าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตควรได้เดินทางไป สักการบูชาให้ครบทั้ง 5 แห่ง จึงจะนอนตายตาหลับหรือได้ขึ้นสวรรค์ มหาบูชาสถานทั้ง 5 แห่งนี้ได้แก่
1.มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง


                  เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ รวม 8 เส้น ของพระพุทธเจ้า มีประวัติตำนานเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ตั้งแต่ครั้งที่ย่างกุ้งยังเป็นดินแดนของมอญมีชื่อเดิมว่า ดากองหรือ ตะเกิง ก่อนจะถูกพม่ายึดครองไป แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ย่างกุ้ง” “ชเวดากองแปลว่า เจดีย์ทองแห่งเมืองดากองมหาเจดีย์แห่งนี้มีการบูรณปฏิสังขรณ์มาด้วยกันหลายครั้ง โดยเฉพาะมีโบราณราชประเพณีที่กษัตริย์ของมอญและพม่าที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห้อหุ้มองค์พระเจดีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณของชาวพุทธ แห่งลุ่มน้ำอิระวดีที่สำคัญที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน

2.เจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม

 

                   เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามหาราช พระองค์แรก ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว ภายหลังทรงยกทัพไปตีมอญที่อาณาจักรสุธรรมวดี ได้แล้วทรงกวาดต้อนชาวมอญ ตลอดจนช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพงศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว ดังเช่น รูปร่างของเจดีย์ ชเวซิกอง ก็มีรูปทรงระฆังคว่ำแบบมอญ ก่อนที่จะมีพุทธศิลป์ สกุลช่างพุกามเกิดขึ้น ชเวซิกองแปลว่า เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย

3.เจดีย์ชเวมอดอร์ แห่งเมืองหงสาวดีหรือบาโก


                 ชาวพม่าเรียกว่า ไจก์มุเตาแห่งบาโกคนไทยเรียกว่า เจดีย์มุเตา เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ 2 เส้นของพระพุทธเจ้ามีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปีเป็นที่เคารพสักการะของกษัตริย์มอญ, พม่า, รวมทั้งไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า ตลอดจนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย ไจก์มุเตาแปลว่า เจดีย์จมูกร้อน เพราะเจดีย์มีความสูงมากจนต้องแหงนหน้าขึ้นคอตั้งบ่าเพื่อมองไปที่ยอดของเจดีย์ทำให้จมูกร้อนเพราะแสงแดดเผามีตำนานสร้างคล้ายกับเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง ตามตำนานการสร้างเจดีย์ชเวมอเดอร์มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่ามีพ่อค้าวาณิชชาวมอญสองคนได้อัญเชิญพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามาจากประเทศอินเดีย และได้สร้างเจดีย์นี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าเป็นที่เคารพสักการบูชาของพระมหากษัตริย์พม่า และมอญตลอดจนพระมหากษัตริย์ไทยคือ พระนเรศวรมหาราชและได้มีการบูรณะซ่อมแซมมาด้วยกันหลายรัชกาล องค์พระเจดีย์เป็นศิลปะพม่าผสมผสานกับศิลปะมอญได้อย่างกลมกลืน พระเจดีย์ชเวมอดอร์มีความสูงถึง 377 ฟุตทั้งๆที่มีจารึกระบุความสูงเมื่อแรกสร้างเพียง 75 ฟุตเท่านั้น ซึ่งมีความสูงกว่าพระมหาเจดีย์ชเวดากองถึง 51 ฟุต ต่อมาภายในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครั้งใหญ่ในประเทศพม่ายอดฉัตรบนสุดของพระเจดีย์ชเวมอดอร์ ได้หักพังทลายลงมายังความโศกเศร้าร้าวรานในให้แก่ชาวพม่าและตลอดจนพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมในศรัทธากันถ้วนหน้าจึงได้ทำการเรี่ยไรเงินมาบูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ชเวมอดอร์ขึ้นมาใหม่ และสร้างให้สูงกว่าเดิมแต่ทางรัฐบาลพม่าก็ยังคงเก็บรักษาซากเจดีย์องค์เดิมไว้ให้ชาวพม่า และชาวมอญกราบไหว้สักการะบูชา ณบริเววณลานกว้างใหม่ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็น จุดอธิฐานศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเจดีย์โดยมีความเชื่อถือกันว่าตรงบริเวณจุดนี้คือพระธาตุองค์จริง

4.พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์


 

                   เป็นพระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 เมตร เป็นที่ยอมรับกันว่า มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่ง มหามุนีแปลว่า มหาปราชญ์หล่อขึ้นในราว พ.ศ. 688 โดยชาวยะไข่ ชนกลุ่มน้อยในรัฐอาระกัน ทางทิศตะวันตกสุดของพม่าติดกับประเทศอินเดีย ต่อมาเมื่อพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกทัพไปตีเมืองยะไข่ได้ จึงโปรดให้ชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อ 200 ปีมาแล้ว มีตำนานเล่ากันว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจให้พระมหามุนี เป็นตัวแทนสืบทอดพระศาสนา จึงเชื่อกันว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มีลมหายใจจริง จึงต้องมีพิธีล้างพระพักตร์ให้ทุกเช้า ซึ่งพิธีนึ้ก็ยังคงดำรงอยู่มาตราบจนถึงปัจจุบัน

5.พระธาตุอินทร์แขวน ไจก์ทิโยเมืองไจก์โถ่ รัฐมอญ

 

                เชื่อกันว่าพระอินทร์เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อนำเอาพระธาตุมาแขวนไว้ให้ผู้มีบุญมากราบไหว้ ใครได้มาสักการะก็เท่ากับได้ไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ และจะได้สั่งสมอานิสงส์ให้ไปเกิดร่วมยุคกับพระศรีอาริยเมตตรัย และผู้ที่มีบุญก็จะสามารถมองเป็นองค์พระธาตุลอยอยู่อย่างชัดเจน พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร สร้างตั้งไว้บนก้อนหิน สูงถึง 5.5 เมตร เส้นรอบวงของก้อนหินราว 17 เมตร มองดูคล้ายก้อนหินตั้งอยู่หมิ่นเหม่ใกล้จะตกลงมาเต็มที ด้วยศรัทธาอันมีพุทธธรรมน้อมนำใจ ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าสตางค์ของชาวมอญ และพม่าแทบทุกคน จะต้องมีรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อย 3 สิ่ง เคลือบพลาสติกไว้สำหรับ พกพาเป็นสิริมงคลอยู่เสมอ สิ่งแรกคือ พระมหาเจดีย์ชเวกาดองย่างกุ้ง พระมหามัยมุนี มัณฑะเลย์ และสามคือ พระธาติอินทร์แขวน ไจก์ทิโย

 
 
 

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

โลจิสติกส์


โลจิสติกส์ คือ อะไร  
                        มีการพูดถึงกันมากถึงคำว่า"ระบบโลจิสติกส์"เรามาทำความรู้จักกับระบบโลจิสติกส์กันดีกว่า
ระบบโลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับกิจกรรมมากมายหลายด้าน ดังนั้นหากเข้าใจว่า โลจิสติกส์ ก็คือ การขนส่งนั้น ต้องบอกว่า เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน (ถูกเป็นบางส่วน)
 
       เนื่องจากงานด้านโลจิสติกส์ครอบคลุมกว้างขวาง โดยมีทั่งงานด้านการจัดซื้อ งานคลังสินค้า งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ โลจิสติกส์ไม่ใช่เรื่องการขนส่งอย่างเดียวแต่การขนส่งเป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งของ
กิจกรรมในระบบโลจิสติกส์ ซึ่งมีขอบเขตของกิจกรรมตั่งแต่การจัดซื้อจัดหา การผลิต การจัดเก็บ สินค้าคงคลัง การขนส่ง รวมไปถึงการกำจัดของเสีย และเทคโนโลยีสารสนเทศ 

          "การบริหารโลจิสติกส์ คือ การวางแผน การดำเนินงาน และการประสานงาน การดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งบรรลุผลในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยการนำเสนอบริการและคุณภาพในระดับที่เหนือกว่าต้วยต้นทุนการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
               
  โลจิสติกส์สำคัญอย่างไร
                สหรัฐอเมริกา ประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมือง อาจจะกล่าวได้ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก  ดูจากการเปลี่ยนแปลงของอเมริกาก็ว่าได้ สหรัฐอเริกามีการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อย่างต่อเนือง และมีความก้าวหน้า  เป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นการขับเคลื่อนโดยภาคธุรกิจเป็นหลัก เนื่องจากมีการแข่งขันอย่างรุนแรงในการลดต้นทุน  โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีการสร้างความร่วมมือกันในโซ่อุปทานโดยใช้การบริหาร  นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความตื่นตัวในการจัดระบบฐานข้อมูลโลจิสติกส์เพื่อการวิเคราะห์ต้นทุนที่แท้จริง และที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกกฎหมายควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี จากการพัฒนาดังกล่าว ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนือง (จากประมาณร้อยละ 16 ของ GDP ในปี 1981 ลงมาเหลือร้อยละ 9.5 ในปี 2001) และจากการลดต้นทุนดังกล่าวทำให้เกิดทฤษฎี  ประมาณว่าในระดับธุรกิจนั้น พบว่าหากบริษัทสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้ร้อยละ 1 แล้วจะสามารถทำให้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ และหากประเทศหนึ่งๆ สามารถลดต้นทุนการขนส่งร้อยละ 10 แล้วจะสามารถเพิ่มการค้ารวม (ภายในและส่งออก) ได้ถึง ร้อยละ 20 
สำหรับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียบางประเทศนั้นจะสามารถเพิ่มมูลค่า GDP ได้ถึงร้อยละ 1.5-2.0 หากประเทศนั้น  สามารถ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ถึงร้อยละ 15-20
 

ความหมายของ Logistics
                การจัดลำเลียงสินค้าเพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการกระจายสินค้าต่ำที่สุด โลจิสติกส์เกี่ยวข้องตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบและไปสิ้นสุด ณ จุดที่มีการบริโภคสินค้านั้น หรือในอีกความหมายหนึ่ง โลจิสติกส์เป็นกระบวนการในการจัดการวางแผน จัดสายงานและควบคุมกิจกรรมทั้งในส่วนที่มีการเคลื่อนย้ายและไม่มีการเคลื่อนย้ายในการอำนวยความสะดวกของกระบวนการไหลของสินค้า ตั้งแต่จุดเริ่มจัดหาวัตถุดิบไปถึงจุดที่มีการบริโภคโลจิสติกส์ ประกอบด้วย กิจกรรมต่างๆ 2 ลักษณะ คือ กิจกรรมหลักและกิจกรรมสนับสนุน  กิจกรรมหลักในกระบวนการไหลของสินค้าตามแนวคิดของโลจิสติกส์ คือ กิจกรรมที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อต้นทุนและการให้บริการของสินค้ามากที่สุด
 ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมด้วยกัน คือ
  - การขนส่ง 
- การสินค้าคงคลัง 
- กระบวนการสั่งซื้อ 
กิจกรรมสนับสนุนในกระบวนการไหลของสินค้าตามแนวคิดของโลจิสติกส์ คือ กิจกรรมที่มีส่วนในกระบวนการกระจายสินค้า และเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้งานของกิจกรรมหลักดำเนินไปได้สะดวก ได้แก่
- การจัดการด้านโกดัง 
- การยกขนการหีบห่อ 
- การจัดซื้อจัดหา 
- การจัดตารางผลิตภัณฑ์ 
- การจัดการด้านข้อมูล

ประเทศสิงคโปร์



สภาพภูมิศาสตร์ อากาศ เวลา และแผนที่สิงคโปร์
ภูมิประเทศ
                สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Singapore) ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอยู่ทางทิศใต้ของประเทศไทยต่อจากประเทศมาเลเซีย   สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรน้อยที่สุดในเอซียตะวันออกเฉียงใต้    
สิงคโปร์ไม่ได้เป็นเกาะเพียงเกาะเดียว  แต่ประกอบด้วยเกาะหลักหนึ่งเกาะ และเกาะขนาดจิ๋วล้อมรอบอีก 63 เกาะ  เกาะหลักมีเนื้อที่พื้นดินรวม 682 ตารางกิโลเมตร   ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของที่นี่คือ 136.8 กม.  เหนือเส้นศูนย์สูตร  โดยตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 103 องศา 38 ลิปดาตะวันออก กับเส้นแวงที่ 104 องคศา 06 ลิปดาตะวันออก    และด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งติดฝั่งทะเลทั้ง 3 ด้าน  ซึ่งอยู่ตรงกลางสี่แยกของโลกคือ  ทิศเหนือ ติดกับช่องแคบยะโอร์  ทิศตะวันออก ติดกับทะเลจีนใต้  ทิศตะวันตก ติดกับช่องแคบมะละกา  ทิศใต้ ติดกับช่องแคบสิงคโปร์  ทำเลอันยอดเยี่ยมนี้ส่งผลความได้เปรียบมีส่วนผลักดันให้สิงคโปร์เติบโต จนกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า การสื่อสาร และการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก  



สภาพภูมิอากาศ
                สิงคโปร์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงมีอากาศและพืชพรรณธรรมชาติแบบร้อนชื้น  แต่ได้รับอิทธิพลจากลมทะเล จึงช่วยให้มีอากาศเย็นสบาย   อุณหภูมิในช่วงฤดูร้อน และฤดูหนาว จึงไม่ต่างกันมากนัก    สภาพอากาศของสิงคโปร์ เป็นแบบอบอุ่นและชื้นตลอดปี   ความชื้นในช่วงกลางวันประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์  และ 95 เปอร์เซ็นต์ในช่วงกลางคืน   อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 23-33 องศาเซลเซียส  มีแดดตลอดปี และฝนตกเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะช่วงปลายปี   โดยเฉลี่ยแล้วในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง มกราคม  เป็นช่วงที่ร้อนน้อยที่สุด เนื่องจากฝนตกชุก    ช่วงระหว่างเดือน พฤษภาคมถึง กรกฎาคม เป็นช่วงที่ร้อนที่สุด   และเดือน กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่แดดจ้ามากที่สุด
การเดินทาง
ประเทศสิงค์โปร์ สามารถเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะได้หลายรูปแบบ
รถประจำทาง
                เปิดบริการตั้งแต่ 06.00-24.00 น. อัตราค่าโดยสารสำหรับรถประจำทางธรรมดา เริ่มต้นที่ 0.70-1.40 เหรียญสิงค์โปร์ ส่วนรถประจำทางปรับอากาศเริ่มต้นที่ 0.80-1.70 เหรียญสิงค์โปร์ ( ข้อควรระวังการจ่ายค่ารถประจำทาง จะไม่มีทางทอนเงิน จึงควรเตรียมค่าโดยสารให้พอดีกับค่าโดยสารที่ต้องจ่าย )
รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT
                เปิดบริการ 05.30-24.00 น. อัตราโดยสารเริ่มต้นที่ 0.80-1.80 เหรียญสิงค์โปร์
สำหรับนักท่องเที่ยวไม่ควรซื้อตั๋วรถไฟแบบ EZ Link ควรซื้อเป็นตั๋วเที่ยวเดียว เพราะว่าขาออกสามารถแลกเงินคืนได้ ตอนซื้อตั๋วจะต้องไปซื้อที่ตู้บริการขายตั๋วอัตโนมัติในสถานที่รถไฟ ซึ่งเป็นเครื่องจำหน่ายบัตรแบบอัตโนมัติ ควรเลือกกดตั๋วแบบ Standard Ticket จากนั้นกดเลือกสถานที่ หรือสถานีปลายทางที่เราจะไป เครื่องจะแสดงจำนวนเงินว่าเราต้องหยอดกี่เหรียญ ถ้าหากเราหยอดเงินเกิน เครื่องจะทอนเงินมาให้โดยอัตโนมัติ เวลาซื้อตั๋วเที่ยวเดียว เครื่องจะบวกค่าประกันบัตร 1 เหรียญสิงค์โปร์ ดังนั้น เมื่อเราเดินทางไปถึงสถานที่จุดหมาย ก็ให้นำตั๋วไปคืนที่ตู้ แล้วกด Refund โดยสอดบัตรเข้าไป แล้วจะได้รับเงินคืน อย่าลืมว่าต้องเป้นภายในวันเดียวกันเท่านั้น
รถแท็กซี่มิเตอร์
                ราคาค่าโดยสาร จะขึ้นตามมิเตอร์ เริ่มต้นที่ประมาณ 2.40 เหรียญสิงค์โปร์ และเพิ่ม 10 เซ็นต์ต่อ 250 เมตร
- ต้องจ่ายเพิ่มอีก 50% หากเป็นการใช้บริการระหว่าง 24.00– 06.00 น.
- การเรียกบริการทางโทรศัพท์ เพิ่มค่าบริการอีก 3.20 เหรียญสิงค์โปร์ และหากเป็นการโทรจองล่วงหน้าเกินครึ่งชั่วโมง ต้องเพิ่มค่าบริการ 5.20 เหรียญสิงค์โปร์
- มีการใช้ระบบ ERP ( คิดค่าใช้ถนนโดยเครื่องอิเลคโทรนิกส์ ) จะต้องเสียเพิ่มอีก 30 เซ็นต์ – 2 เหรียญสิงค์โปร์ ในกรณีที่รถวิ่งผ่านถนนที่มีการคิดเงิน
แหล่งท่องเที่ยว
สิงคโปร์มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเช่น การ Shopping ทีเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ที่มาเยือน สิงคโปร์ ย่าน ศูนย์กลาง การชอปปิ้งของ ประเทศสิงคโปร์ คือ ถนน ออชาร์ด “Orchard Road” มีแหล่ง Shopping ที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีสินค้ให้คุณ จับจ่าย สินค้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้สิงคโปร์เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจ และจะไม่มีวันลืม และนอกจากนั้นยังมีสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ อาทิเช่น “Singapore Zoological Gardens” เป็นสวนสัตว์มาตรฐานระดับโลก ซิ้งถูกสร้างและปรับปรุงให้กลมกลืนใกล้เคียงกับ ธรรมชาติมากที่สุด “Night Safari” เป็นสวนสัตว์เปิดที่บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา ทุ่มครึ่งไปจนถึงเที่ยงคืน คุณจะเพลิดเพลิน กับชีวิตสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิดกับการนั่งรถราง ชมสัตว์ ที่ออกหากินยามค่ำคืน มากกว่า 100 ชนิด“Sentosa Island” เกาะเซนโตซ่า เป็นสถานท่องเที่ยวที่สร้างความสนุกสนานและความประทับใจ ให้กับทุกเพศทุกวัย โดยการเดินทางไปเกาะเซนโตซ่านั้นมีด้วยกัน 3 วิธี คือทางเรือเฟอร์รี่ รถยนต์ และกระเช้าลอยฟ้า “Singapore Botanic Garden” เป็นสวนพฤกษชาติที่มีพันธุ์พืชหลากหลายชนิดและ พืชที่หาดูได้ยาก โดยเฉพาะสวนเพาะกล้วยไม้ ที่มีกล้วยไม้ถึง 20,000 ต้นและเหตุนี้เองจึงเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว
ถนนออร์ชาร์ด ย่านช๊อปปิ่ง(Orchard Road)
                ถนน ออร์ชาร์ด (Orchard Road) คือถนนที่ถูกตั้งชื่อขึ้นตามสวนพริกไทยและจันทน์เทศ ที่เรียงรายขนาบกันเป็น แนวทางเดินขึ้นมาตั้งแต่ยุคปี 1840 ตามแนวถนน ออร์ชาด Orchard Road ในอดีตเคยเป็นพื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูกพืชสวนโดยเจ้าของที่มีชื่อว่า Scotts, Cairnhill และ Cuppage ซึ่งต่อมาปัจจุบันได้กลายมาเป็นชื่อถนนในละแวกเดียวกันที่คุ้นหูเป็นอย่างดี ในยุคปี 1900 เกิดโรคระบาดไม่ทราบต้นตอคร่าทำลายพืชผลเสียหาย ทำให้เจ้าของต้องอพยพออกไปในเวลาไม่ถึงปี และเนื่องด้วยพื้นที่มีทำเลอยู่ในหุบเขา จึงเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ พวกเขาปักหลักทำสวนได้แค่ในปี 1965 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวที่คลอง Stamford Canal ถูกขุดลอกและขยาย บางแขนงของคลองยังไหลอยู่ข้างใต้ pedestrian mall ด้านหน้าของ วิสมา อาเทรีย ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (Wisma Atria Shopping Centre)” ในปัจจุบัน ในยุคปี 1970 มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นตามแนวถนน ไล่จาก C. K. Tangs, Plaza Singapura และโรงแรม the Mandarin Hotel ก่อนจะนำไปสู่การก่อสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ และห้าวสรรพสินค้าขึ้นอีกมากมายค่ะ เรื่อยมาจนถึงบรรดาอาคารสูงระฟ้าเรียงรายขนาบสองข้างของเส้นทางที่เคยเป็น ดินโคลนมาก่อน ก่อนจะกลายมาเป็นถนน Orchard Road แหล่งช็อปปิ้งสินค้าชื่อดังของสิงคโปร์ในทุกวันนี้ ว่ากันว่าสำหรับนักช๊อปปิ้ง ถนนออร์ชาดคือสวรรค์เลยทีเดียวค่ะ มีห้างตั้งเรียงรายเป็นสิบๆห้างค่ะ มีทั้ง สองฝั่งถนน หากต้องการช๊อปปิ๊กก็สามารถเริ่มต้นตั้งแต่ 10.00 น.-21.00 น.ค่ะ มีห้างใหม่ๆขึ้นมามากมายค่ะเช่นห้าง Ion เป็นห้างสรพสินค้าที่ใหญ่และสวยมากค่ะ ที่สำคัญ บริเวณถนนออร์ชาด จะมีศูนย์บริการการท่องเที่ยวด้วยค่ะ ที่นั้นดีมากๆ บริการดีค่ะให้คำแนะนำ ในการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆได้ดีทีเดียวค่ะ
สวนสัตว์สิงคโปร์ (Zoo Logical and Rainforest)
                สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoological Gardens) เริ่มเปิดเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ในพื้นที่ 28 เฮกเตอร์ ซึ่งมีสัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก สวนสัตว์เปิดแห่งนี้ซึ่งมีสัตว์ป่านานาชนิด ที่น่าสนใจให้ชม สวนสัตว์สิงคโปรได้ชื่อว่าเป็น "สวนสัตว์ที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง" สวนสัตว์มีพื้นที่ทั้งหมด 90 เฮกเตอร์ ส่วนที่เป็นพื้นที่สำหรับสัตว์อาศัยอยู่มี 28 เฮกเตอร์ จุดเด่นของสวนสัตว์สิงคโปร ก็คือ ฝูงลิงอุรังอุตังที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากเกาะบอร์เนียวและสุมาตรา และยังมี Fragile Forest ซึ่งเป็นส่วนแสดงเกี่ยวกับระบบนิเวศน์วิทยา และป่าฝนเขตร้อน เป็นทั้งแหล่งให้ความรู้และให้ความตื่นเต้น มีหมีขั้วโลก เสือโคร่งเผือก และฮิปโป ที่สามารถเข้าชมได้อย่างใกล้ชิด ภายในสวนสัตว์เด็กๆ ก็จะสามารถสนุกสนานได้ที่ Children's World และ ยังมีการแสดงของสัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่เวทีการแสดงของสวนสัตว์แห่งนี้อีกด้วยค่ะ สวนสัตว์ที่นี้จะมีความสะอาดมากค่ะ ด้านหน้าจะมีบริการร้านอาหารด้วยนะค่ะ
เวลาเปิดของสวนสัตว์สิงคโปร์ ทุกวัน
เปิดเวลา 08:30 - 18:00น.
ค่าเข้าชม :
ผู้ใหญ12.00 SGD     เด็ก 5.00 SGD
การเดินทางสามารถเดินทางสู่สวนสัตว์ได้โดย
รถไฟใต้ดิน MRT ที่สถานี Choa Chu Kang Station (NS4) แล้วต่อรถบัส TIBS สาย 927 ไปยังสวนสัตว์เลย หรือลงสถานี Ang Mo Kio Station (NS16) แล้วต่อรถบัส SBS สาย138 ค่ะ
สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี (Night Safari Singapore)
                สวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี (Singapore Night Zafari Zoo) หรือ สวนสัตว์กลางคืนสิงคโปร์ เป็นสวนสัตว์ในประเทศสิงคโปร์ สร้างด้วยเงินกว่า 60 ล้านดอร์ลาร์สิงคโปร์ และ ถือว่า ไนท์ซาฟารี แห่งนี้เป็นสวนสัตว์กลางคืนแห่งแรกของโลกเลยทีเดียว สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี เริ่มเปิดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 ภายในพื้นที่ป่าดงดิบ 40 เฮกเตอร ์มีสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนมีทั้งหมด 1,200 ตัวโดยประมาณ และ135 สายพันธุ์ ทางสวนสัตว์ได้แบ่งพื้นที่ภายในสวนสัตว์ออกเป็นโซนต่างๆได้แก่ โซนป่าฝนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โซนทุ่งหญ้าสะวันน่าของประเทศแอฟริกา โซนหุบเขาแม่น้ำเนปาล โซนที่ราบกว้างไม่มีต้นไม้ในอเมริกาใต้ และโซนป่าพม่า ภายในสวนสัตว์แห่งนี้ยังมีศูนย์สงวนและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ มีการสาธิตการเพาะพันธุ์สัตว์หายาก เช่น เสือโคร่ง แรดอินเดีย และตัวกินมด เป็นต้น
สวนสัตว์ไนท์ซาฟารีสิงคโปร์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสวนสัตว์สิงคโปร์ จึงทำให้นักท่องเที่ยวสวนใหญ่นิยมวางแผนเที่ยวสวนสัตว์สิงคโปร์ในช่วงกลางวัน แล้วจะข้ามถนนมาเที่ยวที่ สวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารีกันต่อในตอนเย็น สวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถรางเพื่อชมสัตว์ป่าตอนกลางคืนได้อย่างสะดวกด้วยค่ะ ในรอบๆ หนึงก็จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ในการเที่ยวชมโดยใช้รถราง โดยที่รถรางจะวิ่งไปในระยะทาง 3.2 กิโลเมตร เที่ยวแรกในการให้บริการคือ เวลา 19.30 น. แต่หากไม่ต้องการนั่งรถรางนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเที่ยวชมสัตว์ ทางสวนสัตว์ได้จัดเส้นทางให้เข้าชมสัตว์ต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิดใน 4 เส้นทางหลักที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ คือ เส้นทาง Fishing Cat Trail เส้นทาง Leopard Trail เส้นทาง Forest Giants Trail เส้นทาง Fragrant Walk นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินเส้นทางไหนก็ได้ค่ะ แต่ต้องอย่าลืมปฎิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัดด้วยนะค่ะ เช่น ห้ามถ่ายรูปสัตว์โดยใช้แฟลช และ ที่สำคัญอย่าได้เดินออกนอกเส้นทางที่เค้าจัดให้เป็นอันขาด เพราะว่าหากหลงเข้าไปในโซนสัตว์ดุร้าย อาจจะมีอันตรายได้ค่ะ ที่สวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี ได้มีการจัดการแสดงชื่อ "Creatures Of the Night Show" ที่ Amphitheatre ซึ่งเปิดให้ชมคืนละ 3 รอบ คือ เวลา 20.00 น. , 21.00 น. และ 22.00 น. การแสดงใช้เวลาประมาณ 30 นาที ต่อการแสดง 1 รอบ ค่ะ
การเดินทางไปสวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี
                ใช้เส้นทางเดียวกัน โดยนั่งรถไฟฟ้า MRT ลงที่สถานี Ang Mo Kio แล้วนั่งรถบัส SBS สาย 138 หรือ ไปลงที่สถานี Choa Chu kang แล้วนั่งรถบัส TIBS สาย 927 ไปลงหน้าสวนสัตว์ทั้งสองแห่งได้ค่ะ รถจะมารับทุก ๆ 20 นาที หลังจากออกจากสถานี Ang Mo Kio แล้วก็ลงสถานีสุดท้านเลยค่ะ
เวลาเปิดให้บริการสวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 19.30 - 24.00 น.
ค่าเข้าชม สำหรับการเดินชมสวนสัตว์สิงคโปร์ไนท์ซาฟารี
ผู้ใหญ่ 20 SGD
เด็ก 3-12 ปี 10 SGD
ค่าบริการนั่งรถราง (จ่ายเพิ่มจากค่าเข้าค่ะ)
ผู้ใหญ่ 8 SGD
เด็ก 3-12 ปี 4 SGD
เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa)
เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) หรือ เกาะมหาสนุก เมื่อก่อนเคยเป็นฐานทัพทางทหาร เมื่อครั้งยังตกเป็นอาณานิคม ของคนอังกฤษ ปืนใหญ่ที่เมื่อก่อนเคยใช้ ก็เป็นจัดแสดงโชว์ที่นี่ คือ ฟอร์ด ซิโลโซ่ (Fort Siloso) ใน ต่อมาทางรัฐบาลได้สร้างขึ้นมาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกค่ะ ภายใรเกาะเซ็นโตซ่ามีขนาด 5 ตารางกิโลเมตร ภายในเกาะถูกจัดให้มีสถาน ที่สำหรับท่องเที่ยวหลายที่ค่ะ สามารถ นั่งรถรางฟรีภายในเกาะเชื่อมต่อไปยังสถานที่เที่ยวค่ะ ยกตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวภายในเกาะเซ็นโตซ่า มีดังนี้
1.Images Of Singapore
2.Sky Tower
3.Sentosa Luge & Sky Ride
4.สวนผีเสื้อและอาณาจักรแมลง
5.Under Water World - โลกใต้น้ำ
6.Pink Dolphin Lagoon
7.ชายหาด Siloso
8.MerLion ยักษ์
9.Songs Of The Sea
สำหรับการเดินทางจากเกาะสิงคโปร์ไปสู่เกาะเซ็นโตซ่าก็มีด้วยกันหลายวิธีคือ
1. กระเช้าลอยฟ้า (Cable Car)
2. รถเมล์
3. รถราง Sentosa Express
ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์( Universal Studios Singapore)
                สวนสนุก ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ เป็นสวนสนุกในเครือยูนิเวอร์แซล แห่งแรก ที่เปิดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งอยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด และอีกไม่นาน ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ก็จะเปิดที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และที่ประเทศเกาหลีใต้ตามลำดับ ซึ่งจะเปิดให้บริการ ในเร็วๆนี้ ก่อนหน้านี้สวนสนุกในเครือยูนิเวอร์แซล ได้ก่อสร้างที่แรกในเอเชียคือประเทศญี่ปุ่นค่ะ
ภายในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ ประกอบด้วน เครื่องเล่นทั้งหมด 24 ชนิด โดยเป็นเครื่องเล่นที่ออกแบบใหม่จำนวน 18 ชนิดให้เลือกเล่น ในพื้นที่สวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร ประกอบด้วย ธีมปาร์คที่รวมตัวละคร และสถานที่ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น ชื่อดังของ บริษัท ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชั่น ที่เป็นที่ชื่นชอบ ของบรรดาเด็ก หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ อย่างเราๆ นั้นก็คือ
มาดากัสการ์ (Madagascar) ภายในมาดากัสการ์ก็จะจำลองเป็นเกาะมาดากัสการ์ ที่ประกอบด้วย ทะเล เรือเดินสมุทรและป่าค่ะรวมไปถึงตัวละครนำอีก 4 ตัวละครคือ อเล็กซ์ มาร์ตี้ เมลแมนและกลอเรีย ใน เกาะมาดากัสการ์ก็มีเครื่องเล่นให้เลือกเล่นเช่นกันค่ะ
เชร็ค (Shrek) พบกับ ปราสาทฟาร์ ฟาร์ อเวย์ (FarFar Away Castle) ซึ่งเป็นปราสาท ของกษัตริย์ฮาโรลด์ และเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงฟีโอน่า ตัวปราสาทมีความสูง 40 เมตร เชียวละค่ะ ในส่วนนี้ก็จะพบกับเครื่องเล่นด้วยคะ
นอกจากนั้นแล้วสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร ยังมีโซนต่างๆที่จัดขึ้นอีก 5 โซนค่ะ เช่น เมืองไซไฟ, โซนอียิปต์, โซนนิวยอร์ก, โซนเดอะลอสต์เวิลด์ ที่จำลองฉากจากภาพยนตร์เรื่องจูราสสิคปาร์ค และโซนฮอลลีวู้ด บูเลอวาร์ด นอกจากนี้ยังมีสตูดิโอ สำหรับการแสดงสดที่เกี่ยวข้องกับ การถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย ให้ชมอีกด้วยค่ะ


น้ำพุ ซันเทค Suntec City หรือ Fountain Of Wealth
                อาคาร Suntec City นั้นมีเป็นกลุ่มตึกนี้จะมีทั้งหมด 5 ตึกบริเวณ ชื่ออาคารซันเทคSuntec City มาจากคำในภาษาจีน แปลว่า ความสำเร็จชิ้นใหม่ ตรงกลางของตึกทั้ง 5 ของ Suntec City จะมีวงแหวนอยู่วงหนึ่ง เรียกว่า วงแหวน น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง (Fountain Of Wealth) ซึ่งได้ถูกจัดให้เป็นน้ำพุที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก โดยสามารถพ่นน้ำได้สูงถึง 30 เมตรค่ะ และ ในช่วงกลางคืนของทุกคืนเวลาประมาณ 20.00 น. จะมีการแสดงน้ำพุประกอบแสง สีเสียง 3D Laser สวยงามเป็นอย่างมาก ว่ากันว่า ถ้ามาที่นี่แล้วต้องเดินรอบๆ และสัมผัสน้ำพุ ก็จะโชคดี และ จะมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตค่ะ ถ้าให้เป็นไปตามสูตรเลย จะต้องเดินให้ครบ 3 รอบ พร้อมกับสัมผัสน้ำพุด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องมาที่นี่ให้ครบ 9 วัน แล้วทุกวันที่มาจะต้องทำแบบเดียวกัน จะยิ่งเป็นการช่วยนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล และ จะทำให้เรามีความร่ำรวยมั่งคั่งในชีวิต อาคาร Suntec City ถูกสร้างโดยกลุ่มนักลงทุนจากฮ่องกง อาคารสร้างตามหลักฮวงจุ้ย (fengshui) ของจีน การออกแบบก่อสร้างอาคารทั้งหมดนี้ได้สร้างตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งได้รับสมยานามว่าเป็นอาคารที่ถูกหลักฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทีเดียว ที่นี่จะมีทั้งศูนย์การค้า, ศูนย์การแสดงสินค้า, ห้องประชุม และอาคารสำนักงาน สร้างเป็นรูปฝ่ามือหงายและมีนิ้วมือทั้ง 5 ตั้งขึ้น ซึ่งนิ้วทั้ง 5 ก็ คือหมู่อาคาร Suntec City นั่นเอง กลุ่มตึกSuntec City สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2533 (ค.ศ1990 ) โดยจะประกอบไปด้วย
1.อาคาร Galleria
2.อาคาร Tropics
3.อาคาร Entertainment Centre
4.อาคารFountain Terace
5.อาคารศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้า (Singapore International Convention & Exhibition Centre)
ทั้ง 5 ตึก จะเชื่อมต่อกันหมดโดยสามารถเดินถึงกันผ่านทางเดินใต้ดินซึ่งเรียกว่า City Link Mall ค่ะ


โรงละคร Esplanade (ตึกหนามทุเรียน)
           โรงละครเอสพลานาด(Esplanade) คือโรงละครบนชายหาดและยังเป็นศูนย์แสดงศิลปะ ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ ออกแบบขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการเชื่อมต่ออันทรงคุณค่าระหว่างอดีตและปัจจุบัน เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เดือนตุลาคม ค.ศ 2002 ที่แรกต้องการจะสร้างออกมาให้คล้าย ไมค์โครโฟน 2 อันคู่กัน แต่หลังจากสร้างเสร็จ ผู้คนส่วนใหญ่จะบอกว่าคล้างทุเรียนมากว่า เป็นที่มาว่าเอสพานาด คือโรงละครทุเรียนค่ะ ปัจจุบันโรงละครเอสพลานาดได้กลายเป็น แลนด์มาร์คของประเทศสิงคโปร์ ที่เวลาถ่ายรูปคู่เมอริออน ก็ต้องถ่ายให้ติด โรงละครเอสพลานาดหรือตึกทุเรียน ด้วยจุดประสงค์ของการสร้างโรงละครเอสพลานาด คือการเป็นศูนย์แสดงศิลปะสำหรับทุกคน ภายในโรงละครเอสพลานาด จะประกอบไปด้วยห้องแสดงขนาดใหญ่จำนวน 2 ห้อง และมีสตูดิโอขนาดเล็กอีก 2 ห้อง ทั้งภายในและภายนอกอาคารเอสพลานาดค่ะ รายการแสดงต่างๆนั้นมีความหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ชมทุกประเภท โดยเน้นไปที่ดนตรี การเต้นรำ ละคร และทัศนศิลป์ทุกประเภท อีกทั้งนังมีห้องสมุดที่มีมุมสำหรับอ่านหนังสือด้วยค่ะ

รูปปั้นสิงโตทะเล พ่นน้ำ Merlion สัญลักษณ์ ของประเทศสิงคโปร์
                Merlion(เมอร์ไลอ้อน) ถูกสร้างและออกแบบขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อการท่องเที่ยว ต่อมาได้กลายเป็นเครื่องหมายของเมืองสิงคโปร์ไปโดยปริยายหากใครได้มาเที่ยวสิงคโปร์แล้ว ไมได้ไปถ่ายรูปคู่เมอร์ไลอ้อน ละก็ แสดงว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์ค่ะ สิงคโปร์ก็คือสิงโตทะเล และสิงโตทะเลก็คือสิงคโปร์ แต่เดิมมีชื่อว่า "สิงกะปุระ(Singapura)" มีความหมายว่า "เมืองสิงโต" หรือ " เกาะสิงโต " ่ค่ะ สิงโตทะเล (Merlion) ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ ์ของคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board - STB) ในปี 1964 – รูปปั้นนี้มีหัวเป็นสิงโต ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น แต่เดิมรูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่สวนสิงโตทะเล (Merlion Park) ข้างๆสะพานเอสพลาเนด (Esplanade Bridge) แม่สิงโตและลูกสิงโตได้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว มีการจัดพิธีติดตั้งสิงโตทะเลในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ.1972 โดยมีประธานในพิธีคือนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ณ เวลาดังกล่าว ซึ่งก็คือ นายลีกวนยู
ปัจจุบัน รูปปั้นสิงโตทะเลได้บ้านใหม่ซึ่งอยู่ห่างไปจากที่เดิมเป็นระยะทาง 120 เมตร ติดกับ One Fullerton สิงโตหางปลา มีความสูง 8.6 เมตร มีน้ำหนัก 70 ตัน ทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ โดยช่างฝีมือชาวสิงคโปร์ ผู้เสียชีวิตไปแล้ว คือ นายลิมนังเซ็ง ในบริเวณเดียวกันก็จะมีรูปปั้นสิงโตทะเลตัวที่สองจะมีขนาดเล็กกว่า ขนาดสูง 2 เมตรและหนัก 3 ตัน ก็ถูกสร้างขึ้นโดยนายลิมเช่นกันค่ะ ตัวสิงโตหางปลาตัวที่สองนี้ ทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ ผิวหนังทำจากแผ่นกระเบื้อง และตาทำจากถ้วยชาสีแดงขนาดเล็ก ผู้ ออกแบบคือนายฟราเซอร์ บรูนเนอร์ (Mr Fraser Brunner) เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแวนคลีฟ หัวรูปปั้นเป็นสิงโตหมายถึง สิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะเคยเห็นตอนที่ พระองค์พบเกาะสิงกะปุระในปี ค.ศ. ที่ 11 ตามบันทึกของชาวมาเลย์ (Malay Annals) ส่วนหางที่เป็นปลาคือสัญลักษณ์ของเมืองโบราณเทมาเซ็ค (หมายความว่า "ทะเล" ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งสิงคโปร์ถูกค้นพบมาแล้วก่อนที่เจ้าชายนิลาจะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "สิงกะปุระ" (หมายความว่า "สิงโต" (สิงห์) และ "เมือง" (ปุระ) ในภาษาสันสฤต) นอกจากนี้ยังหมายถึงจุดเริ่มต้นอันต่ำต้อยของสิงคโปร์ที่ในอดีตเคยเป็นหมู่ บ้านชาวประมงมาก่อน
หากได้มีโอกาสไปเที่ยวละก็ห้ามพลาดนะค่ะ บริเวณใต้สะพานก็จะมีร้านอาหารด้วยค่ะ เนื่องจากบริเวณที่ตั้งMerlion(เมอร์ไลอ้อน) เป็นที่โล่งแจ้ง ควรต้องเตรียมร่ม หรือหมวกไปด้วยนะค่ะ
ไชน่าทาว (China Town )
        ไชน่าทาวน์เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่ชาวไทย และนักท่องเที่ยวชอบไปค่ะ มาดูประวัติคราวๆของย่านไชน่าทาวน์กันค่ะ ไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์ก่อตั้งขึ้นราวปี ค.ศ.1821 โดยเรือจีนลำแรกเดินทางมาจากเซี่ยเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน โดยที่มีผู้โดยสารเป็นผู้ชายทั้งหมด ต่อมาพวกเขาสร้างบ้านขึ้นที่บริเวณ ตอนใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) ซึ่งปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่าเทโลค อะเยอร์ (Telok Ayer) ชื่อท้องถิ่นของไชน่าทาวน์ก็คือ "นุ่ย ชี ซุย" (Niu Che Shui - แปลว่า "น้ำเกวียนวัว") ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการที่ ณ เวลานั้น แต่ละครอบครัวจะต้องมาขนน้ำสะอาดจากบ่อที่ภูเขาแอนเซี่ยง (Ann Siang Hill) และถนนสปริง (Spring Street) ด้วยการใช้เกวียนที่วัวลาก
แต่ก็มีบางส่วนบางพื้นที่ของไชน่าทาวน์ ก็มีคนเชื้อชาติอื่นอาศัยอยู่ เช่น มัสยิดอัลอับราห์ (Al Abrar Mosque) บนถนนเทโลค อะเยอร์ (Telok Ayer Street) และมัสยิดจาเมย์ (Jamae Mosque) และวัดศรีมาเรียมัน (Sri Mariamman Temple) บนถนนเซาท์บริดจ์ (South Bridge Road) ก็เป็นบริเวณที่มีบรรยากาศด้านเชื้อชาติและศาสนาที่หลากหลายของสิงคโปร์
ไชน่าทาวน์มี 4 เขตหลัก ได้แก่
1.ครีตา อะเยอร์
2. เทโลค อะเยอร์
3.ทันจอง พาการ์
4.บูกิต ปาซอร์
ชึ่งในแต่ละเขตก็มีจุดเด่นพิเศษของตนเอง ศูนย์กลางของไชน่าทาวน์จะอยู่บริเวณถนนตรังกานู/สมิท (Trengganu/Smith Streets)
จุดเด่นของไชน่าทาวน์คือ เป็นแหล่วซื้อของฝากค่ะ เป็นพวกของฝากเล็กๆน้อยๆค่ะ เช่นเสื้อ กรอบรูป ที่ติดตู้เย็น ขนม พวงกุญแจที่ระลึกเช่น รูปเมอริออนและอื่นๆอีกมากมายค่ะ ตลาดไชน่าทาวน์ จะเปิดประมาณช่วงเย็นค่ะ 4 โมงเย็นก็เริ่มว่าของขายได้ค่ะ




   สวนนกจูร่ง ( JURONG BIRD PARK)
สวนนกจูร่ง (Jurong Birdpark) เป็นสวนนกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่รวม 126 ไร่ (202,000 ตารางเมตร) ของตำบลจูร่ง ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้แนวคิดการแสดงแบบเปิดกว้างขนาดใหญ่ สวนนกขนาดใหญ่ 4 กรงที่นักท่องเที่ยวเดินชมได้ มีนกจากภูมิภาคต่าง ๆ เช่นเอเชียอาคเนย์ แอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ จุดเด่นของสวนเช่น การแสดงการให้อาหารนกกระทุงใต้น้ำครั้งแรกของโลก ที่สวนนกกระทุง (Pelican Cove), สวนนกแก้วลอรี่ขนาดใหญ่ที่สุด ที่สวนนกลอรี่โลฟ (Lory Loft, น้ำตกที่มนุษย์สร้างขึ้นที่สูงที่สุดของโลกเชียวล่ะคะ และมีศูนย์เก็บรักษาผีเสื้อสกุลเฮลิโคเนีย แห่งแรกของเอเชีย เป็นต้น สวนนกจูร่งเปิดบริการตั้งแต่ เดือนมกราคม ค.ศ. 1971 สวนนกจูร่ง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าไฮไลท์อีกแห่งของสิงคโปร์ เหมาะสำหรับการพาเด็ก ๆ ไปดูไปศึกษา นกนานาชนิด เพราะว่าที่สวนนกจูร่งแห่งนี้มีนกอาศัยอยู่มากกว่า 9,000 ตัว จากกว่า 600 ชนิด อาทิเช่น นกฟลามิงโก้ตัวสีส้มฝูงใหญ่ นกแก้วหลากสีสัน นกพิราบ เหยี่ยว นกกระทุง นกเงือก ปัจจุบันยังจัดได้ว่าเป็นสวนนกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคค่ะ
ภายในสวนนกจูร่ง มีการจัดสัดส่วนการแสดงนกหลายส่วน อาทิเช่น
Penguin Parade - ชมบรรยากาศการเลี้ยงนกเพนกวินกว่า 200 ตัวจาก 5 สายพันธ์ ในตู้ซึ่งจำลองเหมือนขั้วโลกใต้
Lory Loft - สวนนกแก้วลอรี่ จุดนี้นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปคู่กับนก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายครับ
South East Asia Birds Aviary - ในบริเวณกรงนกเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีนกในภาคพื้นเอเชียและนกท้องถิ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จาก 260 สายพันธ์
Waterfall Aviary - สวนน้ำตกเทียมที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูงถึง 30 เมตร ภายในบริเวณนี้จะมีนกจากทวีปแอฟริกาอาศัยอยู่อย่างอิสระตามธรรมชาติมากกว่า 1,500 ตัว จาก 60 สายพันธ์
Riverine - บริเวณสวนน้ำจำลองซึ่งสร้างให้เป็ด ปลา และ เต่าอาศัยอยู่มากกว่า 20 ชนิด
African Wetlands Exhibit - เป็นบึงน้ำกลางสวนนก ซึ่งมีทางเดินให้เราเข้าไปสังเกตพฤติกรรมของนกจากทวีปแอฟริกา เช่นนก Shoebill, นกกระเรียนแอฟริกา และ นกกระสา เป็นต้น
สำหรับนักท่องเที่ยวไม่ต้องการที่จะเดิน สามารถชมภายในบริเวณสวนนก โดยใช้บริการ นั่งรถรางลอยฟ้า Panorail ติดแอร์ ซึ่งจะมีจุดให้แวะชมตามส่วนต่าง ๆ ของสวนนกจูร่ง 4 สถานี เราสามารถลงและขึ้นตามจุดต่าง ๆ เหล่านี้ได้ จนครบเส้นทาง ค่ะ ไม่เหนื่อยมากด้วยค่ะ
   รายการแสดงโชว์ที่สวนนกจูร่ง
1. Fuji World Of Hawks แสดงโชว์เวลา 10.00 น. ซึ่งเป็นการแสดงโชว์ของเหล่าบรรดาเหยี่ยวฟูจิ นกอินทรีย์ และ นกฟาลคอน ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานมาก
2. All Star Bir Show แสดงโชว เวลา 11.00 น. และ 15.00 น. ที่ Pool Amphitheatre การแสดงชุดนี้ถือว่าเป็นการแสดงที่นักท่องเที่ยวรอคอยกันเป็นอย่างมากค่ะ เพราะวานักท่องเที่ยว จะได้ชมความสามารถของนกหลากหลายสายพันธ์ ที่มาโชว์ความสามารถในหลายรูปแบบให้เราดู เช่น นกแก้ว Lory ที่แสนรู้ สามารถนับเลขได้หลายภาษา ร้องเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ดเดย์ให้ผู้ชมได้อย่างชัดเจน รวมถึงมีการแสดงจากนกกระทุง และ นกฟลามิงโก้ รับรองว่าถ้าได้ชมแล้วจะต้องประทับใจแน่ๆ
การเดินทางไปสวนนกจูร่ง สามารถทำได้ง่าย 2 วิธี
1.รถไฟฟ้า MRT สาย EW ไปจนถึงสถานีสุดท้าย Boon Lay จากนั้นให้นั่งรถบัส SBS สาย 194 หรือ 251 2.รถเมย์ ให้นั่งรถเมล์สาย 194 เพราะว่ารถเมล์สายนี้เป็นรถสายที่วิ่งจากสถานี Boon Lay ไปที่สวนนกจูร่งโดยตรง ไม่ต้องกลัวว่าจะเลยป้ายค่ะ
3.เหมารถไปค่ะ
เวลาเปิดเข้าชม ทุกวัน 09.00-18.00 น.
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 16 SGD
เด็ก อายุ 3-12 ปี 8 SGD
ค่านั่งรถ Monorail
ผู้ใหญ่ 4 SGD
เด็ก 2 SGD

 กระเช้าลอยฟ้า สิงคโปร์ฟลายเออร์ (Singapore Flyer)
            สิงคโปร์ ฟลายเออร์ ตั้งอยู่ที่อ่าว มาริน่า เบย์ (Marina Bay) บนชั้นที่สามของห้างรีเทล เทอร์มินอล (Retail Terminal) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารหลายร้าน บริเวณส่วนตรงกลางเปิดโล่ง รับธรรมชาติแบบป่าเขียวชอุ่ม ภายในห้างมีโรงภาพยนตร์แบบกลางแจ้ง อยู่ด้วยค่ะ สิงคโปร์ ฟลายเออได้ชื่อว่าเป็นชิงช้าสวรรค์ ที่สูงที่สุดในโลกค่ะ เมื่อขึ้นไปอยู่บนชิงช้า จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของถนนคนเดินริมฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 210 เมตร สามารถชมวิวของสิงคโปร์ได้แบบพาโนรามาวิว 360 องศา ชมอ่าวมาริน่าอันเลื่องชื่อ ตึกสูงระฟ้า วิวธรรมชาติแบบป่าเขียวชอุ่ม และกิจกรรมต่างๆ จุดที่สูงสุดของสิงคโปร์ฟลายเออร์ มีความสูงถึง 165 เมตร
เวลาเปิดให้บริการสิงคโปร์ฟลายเออร์
เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8:30 น. ถึง 22.30 น.เวลาบริการโดยประมาณ 30 นาที